PDI โชว์กำไร 9 เดือน 637 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากรายได้จากการขายที่เพิ่มขึ้นตามราคาสังกะสีปรับตัวดีขึ้น

PDI โชว์กำไร 9 เดือน 637 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากรายได้จากการขายที่เพิ่มขึ้นตามราคาสังกะสีปรับตัวดีขึ้น

นายฟรานซิส แวนเบลเลน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผาแดงอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) (PDI) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนแรกของปีนี้ (สิ้นสุดเดือนกันยายน 2560) บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและบริการ 4,328 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีรายได้จำนวน 3,741 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 637 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 80% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 352 ล้านบาท

ผลการดำเนินงานมีกำไรที่ดีมากนี้มาจากราคาโลหะสังกะสีโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยราคาเฉลี่ยในรอบ 9 เดือนของปีนี้อยู่ที่ 2,781 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 43 จากในช่วงเดียวกันของปีที่แล้วซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 1,948 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน อัตรากำไรขั้นต้นใน 9 เดือนแรกของปี 2560 เพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 629 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปี 2559 เพิ่มเป็น 969 ล้านบาท ถึงแม้ว่าต้นทุนขายจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการจำหน่ายโลหะสังกะสีจากการนำเข้าในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นมากจากช่วงเดียวกันของปี 2559

สำหรับผลประกอบการในไตรมาส 3/2560 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและบริการ1,439 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการขายและบริการ 1,231ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิ 114 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิ 222 ล้านบาท การยุติธุรกิจสังกะสีในกระบวนการผลิตแบบเดิมส่งผลให้ปริมาณการจำหน่ายรวมในไตรมาส 3 ปี 2560 ลดลงร้อยละ 6 จากไตรมาส 3 ปี 2559 โดยปริมาณการจำหน่ายโลหะสังกะสีจากการนำเข้ามีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 54 ของปริมาณการจำหน่ายโลหะสังกะสีรวม สำหรับราคาโลหะสังกะสีโลกในไตรมาส 3 ปีนี้เฉลี่ยที่ 2,962 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 32 จากราคาเฉลี่ยไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้วซึ่งเฉลี่ยที่ 2,253 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน

“การดำเนินงานโดยรวมในปี 2560 มีแนวโน้มที่ดีมาก เชื่อมั่นว่าจะสามารถสร้างรายได้และกำไรได้สูงกว่าในปีที่แล้วมากจากธุรกิจสังกะสีซึ่งยังเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้หลักให้กับบริษัทฯ ในปีนี้กว่าร้อยละ 90 จากราคาโลหะสังกะสีโลกที่ปรับตัวสูงเป็นประวัติการณ์โดยราคาปรับเหนือระดับกว่า 3,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคมเป็นต้นมา

บริษัทฯ มีความพัฒนาการอย่างชัดเจนในการเปลี่ยนแปลงธุรกิจเข้าสู่ธุรกิจพลังงานทดแทน โดยในเดือนกันยายน 2560 ได้เข้าซื้อโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์มีกำลังการผลิตรวม 30 เมกะวัตต์ ในประเทศไทย ปัจจุบันบริษัทฯ มีโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ที่ดำเนินการผลิตแล้ว ทั้งสิ้นรวม 38.6 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ โรงงานพลังงานแสงอาทิตย์แห่งที่สองขนาด 10.5 เมกะวัตต์ ที่ประเทศญี่ปุ่น อยู่ระหว่างการก่อสร้างและคาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตได้ภายในไตรมาส 1 ปี 2561 ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ เพิ่มกำลังการผลิตโรงไฟฟ้าที่ดำเนินการแล้วเป็น 50 เมกะวัตต์

ผลประกอบการที่ดีและมีกำไรสะสมอย่างต่อเนื่อง ทำให้พีดีไอมีสถานะการเงินที่แข็งแกร่งมาก มีกระแสเงินสดที่พร้อมในการลงทุน โดยยังคงมุ่งมั่นขยายธุรกิจต่อไป มองหาโอกาสที่จะลงทุนในโครงการใหม่ๆ ที่มีความคุ้มค่าและได้รับผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นในธุรกิจพลังงานทดแทน บริหารจัดการสิ่งแวดล้อมและวัสดุรีไซเคิล รวมถึงการเข้าซื้อกิจการที่น่าสนใจก็อยู่ในการพิจารณาลงทุนของบริษัทเช่นกัน